ดร.นิพนธ์ เทพวัลย์
ผู้อำนวยการสำนักประชากร
สำนักคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคม
สำหรับเอเชีย และแปซิฟิคแห่งสหประชาชาติ
(ESCAP)
อนามัยการเจริญพันธุ์
:
ก้าวใหม่ของการพัฒนาประชากรในทศวรรษหน้า
บทนำ
การประชุมระหว่างประเทศ เรื่องประชากรกับการพัฒนา (ICPD) ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ในปี พ.ศ.2537 ซึ่งเป็นการประชุมประชากรโลกครั้งล่าสุด ที่ประชุมได้รับรองแผนปฏิบัติการ (programme of action) ซึ่งมีรายละเอียดถึง 16 บท และมีข้อเสนอแนะทางปฏิบัติถึง 244 ข้อ เรื่อง อนามัยการเจริญพันธุ์ รวมถึงงานวางแผนครอบครัว เป็นบทหนึ่งเฉพาะลงไป (United Nations, 1996) อนามัยการเจริญพันธุ์ มีความหมายครอบคลุม ถึงงานอนามัยแม่และเด็ก ซึ่งรวมถึงการดูแลก่อนคลอด การคลอดที่ปลอดภัย การดูแลหลังคลอด การเลี้ยงดูบุตร ตลอดจนการส่งเสริมการให้นมมารดาแก่บุตร อนามัยการเจริญพันธุ์ ยังรวมถึงเรื่อง การมีเพศสัมพันธ์ และโรคเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะ HIV/AIDS การทำแท้ง การวางแผนครอบครัว มีข้อเสนอแนะว่า ประเทศต่างๆ ควรให้บริการอนามัยการเจริญพันธุ์ แก่ทุกเพศทุกวัย ที่เหมาะสม โดยผ่านระบบสาธารณสุขมูลฐาน ไม่ช้ากว่าปี ค.ศ.2015 (พ.ศ.2558) และควรให้บริการวางแผนครอบครัวที่ปลอดภัย และเชื่อถือได้ ตลอดจน บริการอนามัยการเจริญพันธุ์อื่น ที่เกี่ยวข้องในปี พ.ศ.2558 หรือเร็วกว่านั้น ความก้าวหน้าของงานด้านประชากร ในระยะเวลา 25 ปี
ในช่วงระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ประเทศไทยได้ประกาศนโยบายประชากร เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2513 ประเทศไทยได้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในด้านงานวางแผนครอบครัว และสามารถลดอัตราเพิ่มประชากร ที่อยู่ในระดับสูงประมาณร้อยละ 3.3 ในปี พ.ศ.2513 ลงอยู่ในระดับต่ำ ประมาณร้อยละ 1.1 ในปี พ.ศ.2539 อัตราการเจริญพันธุ์ รวมยอด (TFR) หรือจำนวนบุตรโดยเฉลี่ย ต่อสตรีในวัยเจริญพันธุ์ เท่ากับ 2.0 (ESCAP, 1996) ซึ่งจัดอยู่ในระดับการเกิดทดแทน (replacement level) โดยที่อัตราการคุมกำเนิดของประเทศไทย สูงถึงร้อยละ 75.1 ในปัจจุบัน ในด้านคุณภาพประชากร ก็ได้มีการพัฒนาขึ้นตามลำดับ โดยที่อัตราตายลดต่ำลง ที่สำคัญคือ การตายของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะการตายของทารก (IMR) ที่ลดต่ำลงเหลือประมาณ 32 ต่อการเกิดมีชีพ 1,000 ราย ในปี 2539 โดยที่อายุขัยโดยเฉลี่ย เมื่อแรกเกิดของชาย เท่ากับ 67 ปี และหญิงเป็น 72 ปี (ESCAP, 1996) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ได้จัดทำรายงานพัฒนาประชากร โดยสร้างดัชนีการพัฒนาประชากร (Human development index) ดัชนีดังกล่าวได้คิดคำนวณ จากองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ อายุขัยโดยเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด ระดับการศึกษา (ประกอบด้วย สัดส่วนประชากรผู้ใหญ่ที่รู้หนังสือ ซึ่งให้น้ำหนัก 2 ใน 3 และอีก 1 ใน 3 มาจากการรวมอัตราการศึกษาต่อ ในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และสูงกว่านั้น) และรายได้ของประชากร ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่เพียงพอ ต่อมาตรฐานการครองชีพที่สมเหตุสมผล (มีการถ่วงน้ำหนักที่ค่อนข้างจะซับซ้อน ดดยการปรบรายได้ที่แท้จริง จากอำนาจในการซื้อ ซึ่งเทียบค่าเฉลี่ย กับผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้น GDP) รายงานฉบับล่าสุด ปี พ.ศ.2539 ซึ่งวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลปี พ.ศ.2536 เป็นหลัก จากตัวเลข 174 ประเทศ UNDP ได้แบ่งประเทศเป็น 3 ระดับ ระดับการพัฒนาสูง (มี 57 ประเทศ) ระดับปานกลาง (69 ประเทศ) และระดับต่ำ (48 ประเทศ) ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 52 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มการพัฒนา ประชากรระดับสูง (UNDP, 1996) ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงประชากร
ผลจากการที่ประเทศไทย ประสบความสำเร็จ ในงานวางแผนครอบครัว ทำให้ภาวะเจริญพันธุ์อยู่ในระดับต่ำในปัจจุบัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างประชากร โดยที่ประชากรวัยเด็กลดสัดส่วน และจำนวนลง ประชากรวัยทำงานเพิ่มสัดส่วนสูงขึ้น และประชากรผู้สูงอายุเพิ่มสัดส่วนสูงขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การที่ประชากรเพิ่มขึ้นในอัตรตา และจำนวนที่ลดลงกว่าเก่า ประกอบกับปัจจุบัน มีประชากรในวัยเจริญพันธุ์ จำนวนไม่น้อยติดเชื้อ HIV/AIDS จึงทำให้เป็นที่ห่วงใยกันว่า ประเทศไทยจะประสบภาวะ ประชากรทั้งประเทศลดลง และควรจะชะลอการดำเนินงาน ด้านการวางแผนครอบครัวลง นอกจากนี้ ยังมีความเห็นอีกว่า แรงงานไทยเริ่มขาดแคลน จนต้องใช้แรงงานต่างชาติ ที่ผิดกฎหมายเข้ามาทำงานในปัจจุบัน บางท่านเห็นว่า นโยบายประชากรควรเปลียนไป เป็นการส่งเสริมให้ประชากรไทย มีบุตรเพิ่มขึ้น เพื่อจะได้เพิ่มแรงงานในอนาคต ผู้เขียนมีความเห็นว่า ถึงแม้จะมีข้อเท็จจริงที่ว่า ประชากรในวัยเจริญพันธุ์ของไทย จำนวนไม่น้อยที่ติดเชื้อ HIV/AIDS แต่ปัจจุบันนี้ ด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน โดยเฉพาะองค์กรเอกชน ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ตระหนักถึงปัญหานี้ และเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางเพศ อัตราการติดเชื้อ HIV/AIDS ยังไม่สมบูรณ์ แต่ตัวเลขการตายจากโรคเอดส์ ค่อนข้างจะสมบูรณ์พอสมควร และจากข้อมูลการตายจากโรคเอดส์ ในแต่ละปี ก็มิได้สูงมาก อย่างที่หลายคนห่วงใย ข้อเท็จจริงประการหนึ่งก็คือ ผู้ที่ติดเชื้อ HIV/AIDS ถ้าไม่ได้เป็นเอดส์นั้น สามารถมีชีวิตอยู่ได้ โดยเฉพาะถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง มิได้ตายในระยะสั้น เหมือนผู้ที่เป็นเอดส์ ผู้เขียนมีความเห็นว่า การตายจากโรคเอดส์ จะเพิ่มสูงขึ้น ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมาก ต่อแนวโน้มของประชากร ทั้งนี้ งานในด้านรณรงค์การให้ข่าวสาร การสร้างความตระหนัก และการปลูกจิตสำนึกในเรื่องนี้ ยังต้องดำเนินการอย่างเต็มที่ รวมทั้งการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วย จากโรคดังกล่าวด้วย ในเรื่องการขาดแคลนแรงงานนั้น เป็นเรื่องจริงที่เห็นได้โดยทั่วไป แต่การขาดแคลนนั้น มิใช่เป็นเพราะ ปริมาณแรงงานไทยไม่เพียงพอ แท้ที่จริงแล้ว ประชากรในวัยทำงานของไทย ยังเพิ่มปริมาณมากขึ้นกว่าเก่า ในขณะที่อัต่เพิ่มประชากรลดต่ำลง เหลือประมาณร้อยละ 1.1 อัตราเพิ่มของแรงงานใหม่ยังสูงกว่านั้น โดยเพิ่มประมาณเกือบร้อยละ 2 ต่อปี ดังนั้นปัญหาการขาดแคลนแรงงาน จึงเป็นเรื่องของความต้องการแรงงานบางสาขาวิชาชีพ และแรงงานประเภทกึ่งฝีมือ และแรงงานไร้ฝีมือ ปัญหาดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดจาก การพัฒนาประเทศในระดับสูง ทำให้เกิดขาดแคลนแรงงานบางสาขาวิชาชีพ ประกอบกับแรงงานไทย ไปทำงานต่างประเทศกันมาก ทางแก้ปัญหาในเรื่องนี้ในระยะยาว จะต้องมีการวางแผนกำลังคนที่ดี เพื่อเพิ่มการผลิตแรงงานที่มีฝีมือ ที่ตลาดแรงงานต้องการ ส่วนในระยะสั้น ต้องการเพิ่มการฝึกอบรม ในสาขาวิชาชีพที่ต้องการ และใช้นโยบายด้านแรงงานที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ด้วยการนำแรงงานต่างชาติเข้ามาใช้ เฉพาะในช่วงเวลาที่ขาดแคลน และส่งกลับเมื่อหมดความต้องการ อนามัยการเจริญพันธุ์ : งานที่ท้าทายในทศวรรษ และศตวรรษหน้า
เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า งานวางแผนครอบครัวของประเทศไทย ซึ่งมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นตัวหลักในการดำเนินการ ด้วยความร่วมมือจากกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้อง องค์กรเอกชน และภาคเอกชนนั้น ทำให้ภาวะเจริญพันธุ์ได้มีระดับลกต่ำลง จนอยู่ในระดับที่น่าพอใจในปัจจุบัน (ดูรายละเอียดได้จาก Knodel, Chamratrithirong and Debavalya, 1987) ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขนั้น กรมอนามัย ซึ่งเป็นหน่วยงานหลัก ในการดำเนินงาน โครงการวางแผนครอบครัวแห่งชาติ ได้ผสมผสานงานวางแผนครอบครัวเข้ากับ งานอนามัยแม่และเด็กเป็นสำคัญ ซึ่งประสบผลสำเร็จอย่างยิ่ง ในขณะที่ข้อเสนอจากการประชุม ICPD ให้รวมงานวางแผนครอบครัว และงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าไว้กับงานอนามัยการเจริญพันธุ์ ซึ่งจะช่วยให้การส่งเสริมสุขภาพอนามัย ของประชากรครบถ้วน ตั้งแต่เกิดจนถึงตาย การที่กระทรวงสาธารณสุข มุ่งดำเนินการด้วยการวางแผนงาน ปรับปรุงองค์กรให้เหมาะสม มีการปรับแนวทาง แลกลยุทธ จึงเป็นเรื่องที่ควรให้การสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า งานวางแผนครอบครัวได้ผสมผสาน เข้ากับงานอนามัยแม่และเด็กอยู่แล้ว จึงทำให้การปรับปรุงองค์กร หรือการวางแผนดำเนินงานต่อไป ทำได้ง่ายขึ้น สิ่งที่ต้องตระหนัก เป็นประการแรก คือ การพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ที่สำคัญคือ สังคมไทยกำลังจะเปลี่ยน จากสังคมชนบท เป็นสังคมเมือง จากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม เป็นอาชีพหลัก มาเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้พฤติกรรมการกินอยู่ แบบแผนของโรคภัยไข้เจ็บ การตาย เปลี่ยนไปจากเดิม และผลจากการลดระกับการเจริญพันธุ์ที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้โครงสร้างด้านประชากรเปลี่ยนไป เมื่อเปรียบเทียบประชากรไทย ในปี พ.ศ.2533 กับการคาดประมาณประชากรในปี พศ.2553 จะพบว่า ประชากรในวัยเด็ก อายุต่ำกว่า 15 ปี จะลดลง จากประมาณ 17 ล้าน ลงเหลือ 14.9 ล้านคน ประชากรในช่วงต้นของวัยทำงาน อายุ 15-19 และ 20-24 เริ่มลดจำนวนลงบ้าง แต่เมื่อนับรวมประชากร ในวัยทำงานทั้งหมด (อายุ 15-60 ปี) พบว่า ยังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จาก 30.5 ล้านคนในปี พ.ศ.2533 เพิ่มเป็น 37.1 ล้านคนในปี พ.ศ.2553 ประชากรในวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) เพิ่มจำนวนจาก 15.1 ล้านคน ในปี พ.ศ.2533 เป็น 18.4 ล้านคนในปี พ.ศ.2553 ซึ่งถ้าประเทศไทยยังต้องการรักษาระดับการเจริญพันธุ์ ในปัจจุบัน คือ สตรีมีบุตรโดยเฉลี่ย 2 คน และอัตราการคุมกำเนิดร้อยละ 75 งานวางแผนครอบครัวยังต้องขยายเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับกับจำนวนสตรีวัยเจริญพันธุ์ ที่เพิ่มสูงขึ้น ยิ่งเมื่อพิจารณาแล้ว งานวางแผนครอบครัวต่อไปนี้ จะต้องให้ความสำคัญแก่ประชากร ในวัยเจริญพันธุ์ที่เป็นวัยรุ่น เยาวชน ที่ยังไม่ได้สมรสอีกด้วย งานยิ่งต้องขยาย ทั้งปริมาณ และคุณภาพเพิ่มขึ้นไปอีก ในส่วนประชากรผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) พบว่า ในปี 2533 มีจำนวน 4 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 7.6 ล้านคน ในปี 2553 (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ) ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ขอบเขตของงานด้านอนามัยการเจริฯพันธุ์ ครอบคลุมตั้งแต่เกิดจนถึงตาย เริ่มตั้งแต่เมื่อเกิด ก็ให้เกิดอย่างมีคุณภาพ นั่นหมายถึง มีการดูแลก่อนคลอด โดยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ มีการคลอดที่ปลอดภัย โดยต้องพยายามไม่ให้มีการตายก่อน หรือระหว่างคลอด การตายของสตรีที่เป็นมารดา และการตายของทารก ก็ต้องลดลงให้อยู่ในระดับต่ำ การดูแลหลังคลอด ซึ่งหมายถึงเด็กเติบโตขึ้นมา มีพัฒนาการทั้งทางร่างกาย และจิตใจ โดยที่ครอบครัวจะต้องมีบทบาท อย่างสำคัญ รวมถึงการให้ความสำคัญต่อการให้นมมารดาแก่บุตร ทั้งบิดาและมารดา มีความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูบุตร และการทำงานบ้าน เมื่อเด็กเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ เข้าสู่วัยรุ่น จะต้องมีความรู้ด้านเพศศึกษา โรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ การป้องกันการติดเชื้อจากโรค HIV/AIDS และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงปรารถนา ตลอดจนสามารถรับบริการคุมกำเนิดได้ ถ้าเขาต้องการ ซึ่งเท่าดับเป็นการลดปัญหาการทำแท้งลง โดยเฉพาะการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย เมื่อชายหญิงปรึกษาตกลงที่จะแต่งงาน เขาควรได้รับข่าวสารข้อมูล ตลอดจนการให้คำปรึกษาแนะนำ เพื่อประกอบการตัดสินใจ เกี่ยวกับจำนวนบุตร การเว้นระยะการมีบุตร และระยะเวลาที่จะมีบุตร สิทธิที่จะได้รับการบริการ ด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะงานวางแผนครอบครัว การให้ความรู้ และการป้องกันการติดเชื้อ HIV/AIDS การเน้นบทบาทของผู้ชาย ใหมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว รับผิดชอบต่อพฤติกรรมทางเพศ ตลอดจนการดูแลเลี้ยงดูบุตร เมื่อประชากรส่วนใหญ่ สามารถดำรงชีพอย่างมีคุณภาพ ย่อมส่งผลให้มีอายุยืนยาว อย่างมีคุณภาพ ไม่เจ็บป่วยอย่างไม่สมเหตุสมผล และเมื่อตายก็ตายอย่างสมศักดิ์ศรี ของความเป็นมนุษย์ (ปรากรม วุฒิพงศ์ : 2539) ด้วยขอบเขตของงานที่กว้างขวางมากขึ้นกว่าเก่า รวมทั้งยังต้องปรับปรุงคุณภาพของบริการ ด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ทั้งหมด กรมอนามัย ซึ่งเป็นกรมหลักในการดำเนินงาน ด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ จำเป็นต้องปรับปรุงองค์กร และบุคลากรให้เหมาะสม สร้างกลไกในการประสานงาน ทั้งในระดับกรม กอง ของกระทรวงสาธารณสุขเอง การประสานงานกับกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้อง องค์กรเอกชน และภาคเอกชน ซึ่งพอสรุปงานที่สำคัญๆ แบ่งตามวัยของประชากรได้ดังนี้ 1. ประชากรในวัยเด็ก การเน้นว่า เด็กเกิดและเติบโตขึ้นในครอบครัวที่มีความพร้อม และอบอุ่น มีสุขภาพอนามัยที่ดี เป็นงานที่ภาครัฐ และเอกชน รวมถึงองค์กรเอกชนต้องเข้ามีส่วนสนับสนุนครอบครัว เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูบุตร ให้มีคุณภาพ เป็นงานหลักของกระทรวงสาธารณสุข ในการดูแลป้องกัน และรักษาสุขภาพอนามัยของเด็ก โดยประสานงานกับกระทรวงศีกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนองค์กรเอกชน ภาคเอกชนที่เกี่ยวจข้อง ซึ่งหมายถึงงานอนามัยแม่และเด็ก ต้องขยายบริการให้ทั่วถึง รวมถึงปรับปรุงคุณภาพของบริการด้วย 2. ประชากรวัยรุ่น และเยาวชน จัดเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ แต่เดิมมากลุ่มนี้ได้รับความสนใจอยู่พอสมควร แต่การดำเนินงานยังขาดความต่อเนื่อง และขาดการประสานงาน อย่างมีประสิทธิภาพ ดังจะเห็นได้จาก อัตราการทำแท้งของประชากรในกลุ่มนี้ ได้สูงขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะในเขตเมือง ผู้เขียนมีความเห็นว่า จะต้องมีการปรับปรุงด้านการให้ข่าวสาร ความรู้ และการสื่อสาร (IEC) เพื่อสร้างความตระหนัก และปลูกจิตสำนึกในเรื่องสิทธิการเจริญพันธุ์ อนามัยการเจริญพันธุ์ การวางแผนครอบครัว การตั้งครรภ์ของวัยรุ่น ปัญหาการทำแท้ง โรคเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคเอดส์ ให้แก่วัยรุ่น และเยาวชน ซึ่งเป็นงานที่กระทรวงสาธารณสุข จะต้องดำเนินการร่วมกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกับสถาบันการศึกษา และองค์กรเอกชน มีการพัฒนาสื่อประเภทต่างๆ ทั้งสิ่งพิมพ์ โสตทัศน์ ตลอดจนสื่อสารบันเทิงที่เหมาะสม รวมถึงรายการวิทยุ โทรทัศน์ สื่อพื้นบ้านต่างๆ เป็นต้น สอ่งที่สำคัญประการหนึ่งคือ บริการให้คำปรึกษาแก่วัยรุ่น และเยาวชน โดยเฉพาะในเรื่องเพศสัมพันธ์ ซึ่งต้องขยายให้เพียงพอ กับความต้องการ และมีคุณภาพสูง อีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญมาก ได้แก่ การให้บริการคุมกำเนิดแก่วัยรุ่น และเยาวชน เพมื่อได้รับการร้องขอ โดยปรับขั้นตอนการขอรับบริการ ให้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และต้องไม่มีการเปิดเผย รายละเอียดของผู้มาขอรับบริการเหล่านั้น 3. ประชากรวัยเจริญพันธุ์ที่สมรส กลุ่มนี้ เน้นถึงผู้ที่อยู่กันฉันท์สามรภรรยา ซึ่งเป็นกลุ่มที่เดิมมา ได้รับความสำคัญสูงอยู่แล้ว ในด้านงานวางแผนครอบครัว แต่งานด้าน IEC ควรปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเน้นถึง การมีส่วนร่วมของฝ่ายชาย ต่อการวางแผนครอบครัว ความรับผิดชอบในพฤติกรรมทางเพศ ความรับผิดชอบต่อครอบครัว การดูแลเลี้ยงดูบุตร ในขณะเดียวกัน การให้บริการวางแผนครอบครัว กระทรวงสาธารณสุข จะต้องเน้นในเรื่อง คุณภาพของบริการในด้านนี้ การให้คู่สมรสได้มีโอกาสเลือกวิธีคุมกำเนิด ที่เหมาะสม ตามความต้องการ การส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย ที่มีคุณภาพ เพื่อคุมกำเนิด และป้องกันโรค HIV/AIDS นอกจากนี้ งานอนามัยแม่และเด็ก จะต้องมีส่วนสำคัญในการดูแลสุขภาพ ขแงแม่และเด็ก การส่งเสริมด้านการให้นมมารดาแก่บุตร การปลูกฝีฉีดยาป้องกันโรคต่างๆ การโภชนาการของเด็ก ตลอดจนการขยายสถานเลี้ยงเด็กกลางวัน หรือศูนย์เด็กเล็ก ในโรงพยาบาล และสถานพยาบาลต่างๆ เป็นต้น ผู้เขียนมีข้อเสนอที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ควรมีการกำหนดเงื่อนไขว่า ผู้ที่จะทำการสมรสนั้น ต้องไปตรวจสุขภาพก่อน เพื่อให้ทราบว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีโรคทางพันธุกรรมหรือไม่ และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ เป็นโรคเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเอดส์หรือไม่ การดำเนินการในเรื่องนี้ อาจเริ่มจากเมืองใหญ่ ที่มีควมพร้อมก่อน อาทิเช่น กรุงเทพมหานคร เป็นต้น 4. ประชากรผู้สูงอายุ ผลจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ทางประชากร และผลจากการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม ทำให้ประชากรไทย มีอายุยืนยาวสูงขึ้น ตามลำดับ สัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น รัฐบาลควรมีระบบประกันสังคม แก่ผู้สูงอายุทุกคน กระทรวงสาธารณสุขจะต้องรับผิดชอบ งานด้านสุขภาพอนามัย ของผู้สูงอายุ ด้วยการเปิดคลินิกผู้สูงอายุในสถานพยาบาลของรัฐ ทั้งประเทศ มีการร่วมมือกับองค์กรเอกชน และภาคเอกชน เพื่อสร้างระบบสนับสนุนผู้สูงอายุ ให้สามารถพึ่งตัวเองได้ งานดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขทำอยู่แล้วในปัจจุบัน จะต้องขยายบริการ และปรับปรุงคุณภาพให้สูงขึ้น บทสรุป
งานด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ของประเทศไทย ในทศวรรษหน้า และศตวรรษหน้า เป็นงานที่สำคัญ และท้าทายเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะขอบเขตของงาน ที่ขยายเพิ่มขึ้น และต้องการการผสมผสานงานหลายๆ เรื่องเข้าด้วยกัน ต้องการระบบประสานงาน ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งภายในกระทรวงสาธารณสุขเอง และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญคือ ต้องนำเอาองค์กรเอกชน และภาคเอกชนเข้ามาพัฒนาคุณภาพ ประชากรกลุ่มต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ งานด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ จัดเป็นบริการด้านสุขภาพอนามัย ขั้นพื้นฐาน ที่รัฐพึงมีให้แก่ประชาชน จึงมิใช่บริการที่หวังผลกำไร จากประชาชน งานดังกล่าวนี้รัฐไม่อาจจะผลักภาวะ ให้เอกชนรับไปทั้งหมด เพราะเอกชนย่อมต้องหากำไรเป็นหลัก การนำเอาองค์กรเอกชน และภาคเอกชนเข้ามาช่วยงานของรัฐ ก็เพื่อช่วยให้เป้าหมาย คือ การพัฒนาคุณภาพประชากร ทำให้สำเร็จดียิ่งขึ้น เพื่อให้งานด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ พัฒนาไปด้วยดี กระทรวงสาธารณสุข ยังควรปรับปรุงระบบสารสนเทศ (MIS) ทั้งนี้ ด้วยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ สร้างระบบเครือข่ายสารสนเทศ เพื่อติดตามและประเมินผลงาน ตลอดจนวางแผนงานต่อไป ซึ่งหมายถึง จะต้องมีการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสม เข้ามาใช้ งานดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุข อาจประสานความร่วมมือ กับศูนย์เทคโนโลยี และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ทั้งนี้ จะต้องมีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่น ที่ทำหน้าที่เก็บรวบรวม ข้อมูลด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ ให้มีความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนเห็นความสำคัญของข้อมูลต่างๆ ซึ่งจะใช้ประโยชน์ในการพัฒนางาน และการวางแผนงานให้มีประสิทธิภาพ ดียิ่งขึ้น ข้อมูลที่สำคัญๆ อาทิเช่น การเกิด การตาย โดยเฉพาะการตายของทารก การตายของสตรีที่เป็นมารดา สาเหตุการตายที่สำคัญ การติดเชื้อ HIV/AIDS ข้อมูลผู้รับบริการวางแผนครอบครัว จำแนกตามองค์ประกอบที่สำคัญ เป็นต้น งานเหล่านี้หลายอย่าง กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว ส่วนข้อมูลอีกหลายอย่าง ที่อยู่ในความรับผิดชอบ ของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะต้องมีการประสานงาน เพื่อปรับปรุงคุณภาพของข้อมูล เหล่านี้ให้ถูกต้องเชื่อถือได้ และเรียกข้อมูลมาใช้ได้ ตลอดเวลาเมื่อมีความต้องการ
เอกสารอ้างอิง |
- ปรากรม วุฒิพงศ์ "นโยบายการดำเนินงานพัฒนาประชากร ของกรมอนามัย" การสัมมนาวิชาการ เรื่อง ดัชนีชี้นำเพื่อการพัฒนาประชากร วันที่ 26-27 มิถุนายน 2539 ณ โรงแรมรอยัลปนิ๊นเซส โคราช จังหวัดนครราชสีมา
- สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษกิจ และสังคมแห่งชาติ กองวางแผนทรัพยากรมนุษย์ การคาดประมาณประชากรของประเทศไทย 2533-2563 (กรุงเทพฯ: 2538)
- Economic and Social Commission for Asia and the Pacific, (ESCAP) Population Division, 1996 ESCAP Population Data Sheet
- John Knodel, Apichat Chamratrithirong and Nibhon Debavalya, Thailand's Reproductive Revolution (Madison: University of Wisconsin Press, 1987)
- United Nations, Population and Development Volume 1 Programme of Action Adobted at the International Conference on Population and Development, Cairo, 5-13 September 1994 (New York: Department for Economic and Social Information and Policy Analysis, 1995)
- United Nations Development Programme (UNDP), Human Developemmt Report 1996 (Oxford: Oxford University Press, 1996)