การใช้กระบวนการพยาบาลในการวางแผนครอบครัว

การประเมินความต้องการและภาวะสุขภาพของผู้รับบริการ

การให้บริการการคุมกำเนิดแก่ผู้รับบริการควรคำนึงถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนความพึงพอใจของผู้รับบริการแต่ละคนด้วย การให้บริการคุมกำเนิดจึงต้องประเมินความต้องการและสภาพของผู้รับบริการ เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มประโยชน์ของการคุมกำเนิดให้มากขึ้น โดยมีขั้นตอนในการประเมินความต้องการและภาวะสุขภาพของผู้รับบริการดังนี้

  1. ซักประวัติผู้รับบริการ ได้แก่ประวัติการเจ็บป่วยในอดีตและปัจจุบัน ประวัติการมีประจำเดือน ประวัติการตั้งครรภ์ ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ ประวัติส่วนตัว ประวัติครอบครัว ประวัติทางด้านจิตใจและสังคม ประวัติโภชนาการ ความต้องการคุมกำเนิด ตลอดจนความต้องการวิธีการคุมกำเนิดวิธีใด อายุ อาชีพ จำนวนบุตร
  2. การตรวจร่างกายทั่วไป เพื่อค้นหาข้อห้ามของการคุมกำเนิดแต่ละวิธี และเพื่อให้ผู้รับบริการได้รับการคุมกำเนิดด้วยวิธีที่เหมาะสม ด้วยการชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต การเจริญเติบโต สุขภาพทั่วไป
  3. การตรวจภายในหรือการตรวจอวัยวะสืบพันธ์ เพื่อค้นหาความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธ์ที่เป็นข้อห้ามของการคุมกำเนิดแต่ละชนิด
  4. การตรวจเลือดและปัสสาวะ เพื่อประเมินภาวะโลหิตจาง โรคเลือด การติดเชื้อ การตั้งครรภ์และความผิดปกติต่าง ๆ
  5. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจสารคัดหลั่งในช่องคลอดเพื่อดูการติดเชื้อ ตรวจหาเซลมะเร็งปากมดลูก

หลังจากประเมินผู้รับริการทางการพยาบาลแล้ว ก่อนให้บริการการคุมกำเนิดด้วยวิธีใด ๆ นั้น สิ่งที่พยาบาลจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมสำหรับผู้รับริการแต่ละราย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญนั่นคือการตัดสินใจเลือกชนิดการคุมกำเนิด

ในการกลับมาตรวจตามนัดของผู้รับบริการเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการให้การพยาบาลเป็นอย่างมาก เพราะผู้ให้บริการสามารถติดตามและประเมินผลการคุมกำเนิดของผู้รับบริการได้อย่างถูกต้อง สิ่งที่พยาบาลจะต้องคำนึงถึงเมื่อผู้รับบริการมาตรวจตามนัดคือ การซักประวัติการคุมกำเนิด การตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยเฉพาะการซักประวัติซ้ำนั้น สิ่งที่พยาบาลจะต้องประเมินทุกครั้งคือ วิธีการใช้และการปฏิบัติตนในขณะที่คุมกำเนิด อาการข้างเคียงหรืออาการแทรกซ้อน ความผิดปกติที่เกิดขึ้น การมีประจำเดือน ความรู้สึกและความพอใจต่อการคุมกำเนิด การป้องกันและการแก้ไขอาการข้างเคียงของยา

[ กลับหน้าเดิม ]